วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ขอเล่าเรื่องที่ทำไมทองแท่งถึงไม่มีภาษี VAT

หลายท่านคงจะมีความสงสัยที่ทำไมในอุตสาหกรรมทองของเราจึงมีระบบภาษี VAT ที่แตกต่างจากการค้าแบบอื่นๆ นับว่าเป็นความโชคดีของพวกร้านทองที่เกิดเหตุการณ์ ต้มยำกุ้ง และมีผลกระทบไปทั่วโลก ท่านคงพอจะจำได้ว่าเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2538 ในช่วงที่ท่านนายก พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ประเทศไทยได้เกิดภาวะลูกโป่งแตก เพราะเนื่องจากการที่เปิดประเทศไปรับเงินทุนจากประเทศตะวันตก เรียกกันในตอนนั้นว่า BIBF พอถึงเวลาที่ความมั่นใจในประเทศไทยลดลง ต่างชาติที่เป็นเจ้าของเงินได้ทำการเรียกเงินกลับ ทำให้ประเทศพบกับการไหลออกของเงินตราต่างประเทศ ในตอนนั้น ประเทศเราไม่มีเงินทุนสำรองเพียงพอที่จะไปจ่ายเป็นค่าเชื้อเพลิง และค่าสินค้าต่างๆ ทำให้ต้องมีการลดค่าเงินบาท ไปจน 1 ดอลล่าห์สหรัฐมีค่าเท่ากับ 52 บาท หลังจากรัฐบาลคุณชวลิตได้ลาออกไป รัฐบาลคุณชวนได้เข้ามาบริหารต่อ ก็ได้มีพระที่ประชาชนเคารพออกมาระดมทุนเพื่อใช้เก็บเป็นเงินคงคลัง คือ หลวงตามหาบัว ในตอนนั้นมีกระแสชาตินิยมแรงมาก และกระทรวงการคลัง ได้ออกความเห็นซึ่งทางสมาคมค้าทองคำได้พยายามอธิบายให้ทางการทราบเสมอว่าทองคำเป็นเงินตราประเภทหนึ่ง ไม่สมควรที่จะให้มีการคิดภาษี VAT กระทรวงการคลังเลยมีคำสั่งมาที่กรมสรรพากร ให้หาวิธีที่จะคิดให้ทองคำไม่มีภาษี VAT มีการใช้ หน่วยงานเข้ามาทำวิจัย คือ TDRI ผลการศึกษาพบว่าที่สมาคมกล่าวอ้างนั้น เป็นความจริง จึงได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นระหว่าง กรมสรรพากร และสมาคมค้าทองคำ เป็นเวลากว่า 2ปีที่มีการระดมสมอง จนสุดท้ายกรมสรรพากรได้ออกเป็นประกาศกระทรวง ในปี พ.ศ. 2543 ให้ทองคำแท่งมีภาษีเป็น ศูนย์ และในเมื่อต้นทุนวัตถุดิบเป็นศูนย์ การคิดภาษีของทองรูปพรรณก็ต้องมีวิธีที่ต่างไป โดยทางกรมสรรพากรยินยอมให้มีการเอาราคาทองรูปพรรณรับคืนที่ประกาศโดยสมาคมค้าทอง ไปเครดิตแล้วเอาส่วนต่างมาคิดภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามอัตราที่กำหนด ด้วยเหตุประการนี้พวกเราจึงมีภาษีที่เป็นประโยชน์ต่อการค้าของอุตสาหกรรมทองของไทย แต่เนื่องจากสมาคมไม่อยากให้ประโยชนืนี้ตกไปสู่โรงงานทองของต่างชาติ สมาคมจึงเสนอไปยังกรมสรรพากรให้มีการยกเนภาษีกับทอง 96.5% ขึ้นไป เนื่องจากเราทราบว่าต่างชาติไม่สามารถผลิตทองคำรูปพรรณที่มีความบริสุทธิ์มากๆได้ เพราะว่าต่างชาติใช้เครื่องจักรในการผลิต แต่ก็มีความพยายามตลอดมาให้มีการยกเว้นส่วนประกอบต่างในการผลิตทองรูปพรรณ อาทิ ลวดทองที่รีดมาแล้ว เป็นต้น และก็มีหลายสมาคมที่อยากได้ภาษีแบบเรา ได้มีการประชุมกันหลายครั้ง เพื่อที่จะทำการยกเลิกภาษีใน เม็ดเงิน แต่เนื่องจากเงินไม่มีราคารับคืน ทางกรมสรรพากรจึงไม่ยินยอมให้มีการคิดแบบเดียวกับทองคำพวกเราเมื่อทราบถึงความเป็นมาของระบบภาษีแล้ว ขอให้ชื่นชมกับบุคคลต่าๆที่ได้เสียสละเวลาและมีความกล้าที่จะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับกรมครับสรรพากร ซึ่งพอเอ๋ยชื่อแล้วก็ไม่มีใครอยากไปตอแยด้วย